tag:blogger.com,1999:blog-42968517384447923852024-03-05T01:48:29.558-08:00Polyphonic Wisdomlaughable-loveshttp://www.blogger.com/profile/04462755298243778712noreply@blogger.comBlogger6125tag:blogger.com,1999:blog-4296851738444792385.post-84265584781553838452008-08-10T18:47:00.000-07:002008-08-11T02:47:07.119-07:00ที่อื่น<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidhoIRne5XQ1iEr_7qDKwt9ok5tHWL_ajkhhND27yN3cXQEgyUEw2J5kMetn5SOdvRNFe0nbhduiT4JLVAU5vbnRnwbttirc9N4MVmrZXgk3UH_hs28wKekh3HjiKX-KUM7YSzz4BWwbMq/s1600-h/Elsewhere-2ndimageforwebsite.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidhoIRne5XQ1iEr_7qDKwt9ok5tHWL_ajkhhND27yN3cXQEgyUEw2J5kMetn5SOdvRNFe0nbhduiT4JLVAU5vbnRnwbttirc9N4MVmrZXgk3UH_hs28wKekh3HjiKX-KUM7YSzz4BWwbMq/s320/Elsewhere-2ndimageforwebsite.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5233071459186152098" /></a><br />ผู้แต่ง: กิตติพล สรัคคานนท์<br />สำนักพิมพ์: Shine Publishing House<br />จำนวนหน้า: 106 หน้า<br />พิมพ์ครั้งแรก: มกราคม 2550<br />ราคา: 95 บาท<br />จำนวนบทวิจารณ์: 4 บทความ<br />ส่งบทวิจารณ์มาที่ laughable-loves@hotmail.comlaughable-loveshttp://www.blogger.com/profile/04462755298243778712noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4296851738444792385.post-83866255212541220612008-08-10T17:28:00.000-07:002008-08-11T08:57:06.603-07:00ยินดีต้อนรับสู่ polyphonic wisdom ครับ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-hB6hyq0XMA91skQvO9gGRNp5CcB7xVmzRSIl4eT1NOL0tMPxcp7EyXRZiUfv1WN0xaGL_oIk4DTCKxOAFzDIMsN0UYu0VNPO_QXe13yQDBSO3t4aHljqqPr5n00neFb-4Xyv_FKOgJwX/s1600-h/6a00d8341c60e553ef00e54f44726b8833-800wi.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-hB6hyq0XMA91skQvO9gGRNp5CcB7xVmzRSIl4eT1NOL0tMPxcp7EyXRZiUfv1WN0xaGL_oIk4DTCKxOAFzDIMsN0UYu0VNPO_QXe13yQDBSO3t4aHljqqPr5n00neFb-4Xyv_FKOgJwX/s320/6a00d8341c60e553ef00e54f44726b8833-800wi.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5233051695938963890" /></a><br />เปิดแล้วครับ "polyphonic wisdom" หรือ "ปัญญาประสาน" บลอครวบรวมบทวิจารณ์หนังสือไทย ของหลากหลายนักวิจารณ์ทางอินเตอร์เน็ตที่รักชวนหัวจะไปขโมย และสรรหามาให้อ่านกัน ต้องบอกไว้ก่อนว่ารักชวนหัวไม่ใช่เซียนคอม ที่ทำบลอคนี้ และ "laughable loves" ก็ทำอย่างโง่ๆ หากผิดพลาดประการใด ติชม หรือให้คำแนะนำมาได้ครับ ปรัชญาเบื้องหลังบลอคนี้คือคิดมาตั้งนานแล้วว่าเมืองไทยน่าจะมีวัฒนธรรมการวิจารณ์ วิเคราะห์วรรณกรรมที่แข็งแรงกว่านี้ ก็หวังว่า "ปัญญาประสาน" จะได้รับความนิยม และเป็นประโยคต่อทั้งผู้อ่าน ผู้เขียน และนักวิจารณ์ <br /><br />พูดถึงชื่อบลอค ถ้าใครไปค้นกูเกิ้ล จะเจอลิงค์บทวิจารณ์ผลงานของกุนเดอระ เทคนิกการเขียนแบบ "polyphonic" หรือการประสานเสียงในทางดนตรี เป็นไม้ตายก้นหีบกุนเดอระ หมายถึงการเล่าโดยมีเส้นเรื่องซ้ำซ้อน ผนวกแต่ละเส้นเข้าหากันเพื่อสร้างภาพรวม (ฟังดูคล้ายๆ <em>ปิดเทอมใหญ่ฯ</em> นิ) รู้สึกว่าเป็นชื่อที่เหมาะกับบลอคนี้ดี เพราะนี่ก็เป็นการประสานบทวิจารณ์ แนวความคิดของหลากหลายคน<br /><br />ก็ช่วยๆ กันส่งบทวิจารณ์มาหน่อยแล้วกันครับ ใครมีข้อเสนอแนะ อยากเขียนถึงหนังสือเล่มไหน ก็โพสต์ตอบ หรือส่งอีเมลมาได้ที่ laughable-loves@hotmail.com ครับlaughable-loveshttp://www.blogger.com/profile/04462755298243778712noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4296851738444792385.post-32675410704458804362007-08-11T17:22:00.000-07:002008-08-11T17:32:41.811-07:00ชีวิตอยู่ - "ที่อื่น"<blockquote>บทวิจารณ์โดย <strong>รักชวนหัว</strong></blockquote><br />ไม่รู้เป็นเพราะเพิ่งอ่านอาจารย์ธเนศ พูดถึง Kiran Desai ในนิตยสารอ่านฉบับปฐมฤกษ์หรืออย่างไร เราถึงได้คิดว่า “ที่อื่น” ในประโยคสั้นๆ อันเป็นชื่อนิยายของคุนเดอระ <em>ชีวิตอยู่ที่อื่น</em> (ซึ่งถูกอ้างถึงในบทความชิ้นนั้น) ถึงเป็น “ที่อื่น” เดียวกันกับรวมเรื่องสั้นของกิตติพล สรัคคานนท์<br /><br />“ชีวิตอยู่ที่อื่น” จริงๆ เพราะในรวมเรื่องสั้นชุดนี้มีไออวลแห่งความตายหนาแน่นไปหมด<br /><br />แปลกมากหากมองว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ เมืองแห่งศาสนาที่สั่งสอนสาธุชนให้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงแท้แห่งชีวิต แต่เรากลับมีวรรณกรรมที่เล่นกับประเด็นความตายน้อยเหลือเกิน ที่ใกล้เคียงสุดเท่าที่นึกได้ตอนนี้คือชุดเรื่องสั้นผีของครูเหม เวชกร กระนั้นก็มีช่องว่างมหึมาระหว่างความตายในผลงานของครูเหม และกิตติพล สรัคคานนท์ <br /><br />ผีคือชีวิตหลังความตาย ความตายของครูเหมคือกำแพงซึ่งกั้นสิ่งมีชีวิตสองประเภทออกจากกัน (โดยทางขนบ ประเภทหลังมักมีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าประเภทแรก) ประสบการณ์ผีคือเมื่อพวกเขามาสบหน้าโดยบังเอิญตามรอยแยกบนกำแพง ในทางตรงกันข้าม ความตายของคุณกิตติพลคือการสิ้นสุด “อนาคตคือสิ่งที่เราไม่มีวันล่วงรู้ มันเป็นช่องว่างมหึมาที่วางอยู่เบื้องหน้าเรา ขณะที่อดีตคือหลุมดำที่ดึงดูดทุกอย่างในช่วงเวลาที่เรามีชีวิตกลับเข้าไป ความตายจึงเป็นการบรรจบกันระหว่างหลุมดำและช่องว่างนี้” (หน้า 87) กล่าวคือเมื่ออนาคตจมหายไปในหลุมดำ ก็หมายถึงการสิ้นสุดนั่นเอง<br /><br />ดังนั้นแม้จะมี 12 เรื่องสั้นในที่อื่น แต่ก็มีเรื่องสั้นเดียวที่เป็นเรื่องผี <em>คืนหนึ่ง</em>กล่าวถึงผู้ชายที่เจอผีในบ้านพักตากอากาศ เนื้อเรื่องง่ายๆ เหมือนประสบการณ์ผีที่หาอ่านได้ทั่วไป ข้อแตกต่างคือสิ่งที่น่ากลัวในคืนหนึ่ง ไม่ใช่ผี แต่เป็นความตาย “แรงกระตุกของความกลัวสามารถสั่นพ้องถึงความตาย…ความกลัวจึงมักเป็นเพียงภาพเสนอในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งทำให้เราตระหนักได้ถึงความตาย” (หน้า 38) ตอนท้ายเรื่อง “เขา” ไม่ได้ขนลุกขนพองเพราะพบเจอผู้คนจากภพหลัง แต่เพราะเขาตระหนักว่าครั้งหนึ่ง ตัวเองได้เฉียดใกล้ และได้ถูกรายล้อมไปด้วยความตาย<br /><br />ความตายคงเป็นนามธรรมเก่าแก่ และสากลสุดของมนุษยชาติ ทุกภาษา ทุกวัฒนธรรมคุ้นเคยกับความตาย เพราะมนุษย์ต้องการบรรเทาความโศกเศร้าอันเนื่องมาจากความสูญเสีย มนุษย์จึงสร้างวัตถุสมมติมาใช้อธิบายความตาย ผีคือหนึ่งในวัตถุสมมติ หรือรูปธรรมที่ว่า (แม้แต่ชนเผ่าพื้นเมืองในแอฟริกาก็ยังมีความเชื่อเรื่องวิญญาณ) ถ้าเอาแนวคิดเชิงสัญศาสตร์มาใช้วิเคราะห์ที่อื่น เราจะเห็นเจตนาของคุณกิตติพลในการแยกความตายออกจากสัญลักษณ์ปรุงแต่งจนเหลือเพียงนามธรรมล้วนๆ ถ้วนๆ ตัวอย่างเช่น<em>ภาพปรากฎ</em> เล่าถึงชายหนุ่มผู้หลงวนเวียนอยู่ในรูปธรรมของความตาย พิธีศพ ข้าวของของผู้ตาย ความตายของคนใกล้ตัวอย่างพ่อจึง “เป็นเพียงความแปลกแยกที่ไม่เกี่ยวข้องกับใครคนใดเลย” (หน้า 72) (ระยะนี้เหมือนจะได้อ่านเรื่องสั้นทำนองนี้อยู่ไม่น้อยเช่น เสียงเรียกจากเพื่อนเก่า ของอุทิศ เหมะมูล งานศพอา ของจิตสุภา)<br /><br />บางครั้งสัญลักษณ์ของความตายก็นำพาความรู้สึกน่าชิงชังประเภทอื่นมาแทนที่ความสูญเสีย เช่นถ้าเรามองศพเป็นรูปธรรมของความตาย เราจะเห็นความน่าเกลียดสยดสยองในความตาย ภายหลังอุบัติเหตุรถตกเขา ตัวเอกเรื่อง<em>เข้าเมือง</em>พาผู้อ่านเยี่ยมชม “อุทยานแห่งความตาย” ศพแล้วศพเล่ากองกระจัดกระจายในสภาพเละเทะ “สิ่งที่อยู่ภายในตัวออกไปอยู่ด้านนอกและสิ่งที่อยู่ด้านนอกกลับเข้าไปด้านใน” (หน้า 22) กระทั่ง “สภาพที่ดีที่สุดคือร่างของชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งซึ่งปราศจากศีรษะ” (หน้า 23) ผู้เขียนบรรยายความน่าสยดสยองด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เขา” มองทะลุเปลือกนอกของความตาย และในขณะนั้นเอง “ความตายต่างหากที่กำลังจ้องมองเขาอยู่อย่างไม่วางตา” (หน้า 23)<br /><br />อีกเรื่องสั้นที่กล่าวถึงสัญลักษณ์ของความตายอย่างมีอารมณ์ขันคือ<em>ฆาตกรรม</em> ว่าด้วยชายนิรนามถูกแยกจากครอบครัวขณะพาภรรยา และลูกไปดูหนัง เขาถูกชายสามคนไล่ต้อนไปยังทางเปลี่ยว และในเสี้ยววินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต “เขา” ตระหนักว่าอีกไม่นานตนจะกลายเป็นเพียงปริศนา ให้นักสืบ ตำรวจมาค้นหาในภายหลังว่าใครเป็นผู้ฆ่า ในที่นี้คือการยั่วล้อขนบของอาชญนิยาย (ที่นักอ่านไทยน่าจะคุ้นชินกันดี) ซึ่งแม้จะเต็มไปด้วยความตาย หากเป็นเพียงความตายเชิงสัญลักษณ์ในรูปแบบของ “ฉากฆาตกรรม บาดแผล และร่องรอยต่างๆ ” (หน้า 79) คุณกิตติพลกำหนดให้หนึ่งในผู้จู่โจมเป็นชายผมขาวผู้มี “ความสามารถในการใช้ภาษาอันจำกัด” (หน้า 78) และไม่สามารถอธิบายให้ “เขา” เข้าใจได้ถึงเหตุที่ตนถูกทำร้าย เหมือนจะเพื่อตอกย้ำปริศนาของความตาย<br /><br />เรื่องสั้นที่ดีสุดในเล่มคือเรื่องขึ้นปก <em>ที่อื่น</em> ชายนิรนามเดินชมน้ำตกกับหญิงสาวแปลกหน้า จู่ๆ หล่อนหายตัวไป และเขาก็นำเหตุการณ์ดังกล่าวไปแจ้งตำรวจ เรื่องขึ้นต้น ดำเนิน และลงท้ายอย่างราบเรียบ แต่กลับแฝงนัยน่าขนลุก ประหนึ่งหากผู้อ่านได้สบสายตาผู้เขียน คงเห็นประกายแวววับอันจับต้องเป็นคำพูดไม่ได้ แม้แต่นายภาษายังมี “ความสามารถในการใช้ภาษาอันจำกัด” เฉกเช่นเดียวกับคนร้ายใน<em>ฆาตกรรม</em> แม้แต่นักเขียนก็ยังไม่อาจใช้ภาษาปั้นแต่งความได้ทุกประเภท วิธีสื่อความเหล่านั้นจึงต้องอาศัยการเล่าเรื่องแฝงนัย หรือเล่าเรื่องระหว่างบรรทัด ซึ่งเป็นอาวุธของนักเขียนที่คุณกิตติพลหยิบจับมาใช้ได้อย่างถนัดถนี่ <br /><br />การรังสรรค์เรื่องสมมติสำหรับผู้อื่นคือการจำลองจักรวาลขนาดย่อมอันประกอบไปด้วยฉาก ตัวละคร และเหตุการณ์ สิ่งที่ผู้อ่านรับรู้คือทุกสิ่งซึ่งเกิดขึ้นภายในจักรวาลย่อยๆ นี้ ในทางตรงกันข้าม ผลงานของกิตติพล สรัคคานนท์คือจักรวาลอันเว้าแหว่ง เต็มไปด้วยองค์ประกอบอันมีบทบาทกับตัวละคร และการรับรู้ของผู้อ่าน หากองค์ประกอบเหล่านั้นเกิดใน “ที่อื่น” ตัวอย่างที่ชัดเจนสุดคือ<em>อีกเรื่องที่ยังไม่มีชื่อ</em> พูดถึงลูกชายที่ออกเดินทางไปเที่ยวชายหาดกับเพื่อนหญิง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเขา และเธอ (ที่ไม่น่าใช่คนรัก) ราบเรียบเอื่อยเฉื่อยจนไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ และเมื่อกลับมาถึงห้องพัก เขาเพิ่งตระหนักว่าแม่ป่วยหนัก และใกล้จะตายตั้งแต่สามอาทิตย์ก่อน “ชีวิตอยู่ที่อื่น” และชีวิตก็ได้จบลงในที่อื่น (ซึ่งนอกเหนือการรับรู้ของตัวละคร และคนอ่าน)<br /><br /><em>เรื่องที่ขโมยมา</em> และ<em>ชั่วกาล</em> มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แม้จักรวาลของทั้งสองเรื่องจะครอบคลุมทุกเหตุการณ์ แต่ด้วยวิธีสลับมุมมองทำให้คนอ่านเข้าใจอย่างซึมลึกว่า ขณะที่ความสนใจของเราจดจ่ออยู่กับตัวละครตัวหนึ่ง ชีวิตได้เกิดขึ้น และดับลงในที่อื่น จะเขียนเรื่องแบบนี้ได้ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ หากสักแต่สลับมุมมอง จะออกมาเป็นผลงานที่เล่นกับวิธีนำเสนออย่างไร้ชั้นเชิง ถ้าวิเคราะห์เรื่องที่ขโมยมาอย่างละเอียด เราจะเห็น “กับดัก” ซึ่งถูกโปรยทิ้งไว้เป็นระยะๆ เช่น “ดังนั้นเขาจึงได้แค่จินตนาการเลยเถิดไปถึงสิ่งกีดขวางเบื้องหน้า” (หน้า 9) “เธอเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนสังหรณ์ใจว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป” (หน้า 10) หรือ “ฝ่ายหญิงกวาดสายตาไปรอบๆ เหมือนพยายามมองหาบางสิ่งบางอย่าง หรือใครบางคนด้วยความกระวนกระวายใจ” (หน้า 10) ประโยคเหล่านี้กระตุ้นต่อมใต้สำนึกผู้อ่านว่าเรื่องนี้มีมากกว่าที่พบเห็น เรายังพบเห็นประโยคคล้ายๆ กันในอีกหลายเรื่องสั้นเช่น “ในกรอบบานประตูของห้องหัวมุมปรากฎเงารางๆ ของใครสักคนกำลังจ้องมองมาที่เขา” (ประโยคสุดท้ายของย่อหน้าแรกของ<em>ที่อื่น</em>) “เขาเลือกทำเพราะไม่มีเหตุผล…นี่คือคำอธิบายว่าทำไมเขาจึงมายืนอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้” (ย่อหน้าแรกของ<em>การแสดง</em>) “ต้องการอะไร แน่นอนเขาตอบไม่ได้” (หน้า 27) และอีกมากมาย<br /><br />เทคนิกอีกประการอับประกอบเข้ามาเป็นการเล่าเรื่องแฝงนัยคือการใช้สรรพนาม ตัวละครของคุณกิตติพลไม่มีชื่อ เป็นเพียงบุรุษ สตรีนิรนาม “เขา” หรือ “เธอ” ไม่มีกระทั่งบุรุษที่หนึ่ง เพราะ “ผม” หรือ “ฉัน” ฟังดูใกล้ชิดกับคนอ่านเกินไป ตัวแสดงนำอันห่างเหิน ไม่มีที่มาที่ไป ชักชวนให้ผู้อ่านไขว่คว้า ถมช่องว่างด้วยตัวเอง จึงเกิดเป็นสภาพรับรู้ “ที่อื่น” ซึ่งอยู่นอกเหนือจักรวาลย่อมๆ ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น<br /><br />ตัวละครนิรนามยังพอพบเห็นได้บ่อยๆ ในเรื่องสั้นไทย แต่ที่น่าทึ่งสำหรับที่อื่นคือความนิรนามของฉาก เกินครึ่งของเรื่องสั้นดำเนินเหตุการณ์บนท้องถนน ถ้ามิใช่ท้องถนนในเมือง ก็เป็นทางหลวงต่างจังหวัด ถนนเป็นบริเวณสาธารณะซึ่งคนธรรมดาได้มีโอกาสใกล้ชิดกับความตาย ภาพอุบัติเหตุ ซากรถยนต์คือโมทีฟที่ถูกนำมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณกิตติพลมักเดินเรื่องช่วงงานเทศกาล วันหยุดยาวที่คนไทยเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุมากมายเป็นประวัติการณ์ นอกจากพื้นที่สาธารณะของความตาย ถนนยังเป็นสถานที่ซึ่งมิใช่สถานที่ เป็นช่องเชื่อมระหว่างสถานที่ คนไทยใช้เวลาส่วนใหญ่บนถนน แต่น้อยคนนักจะรู้สึกว่าชีวิตพวกเขาอยู่บนถนน ดังนั้นท้องถนนจึงรุนให้คนอ่านสัมผัสได้ว่า “ชีวิตอยู่ที่อื่น” <br /><br />ถ้าจะมีบ้างที่ตัวละครไปถึงยังเป้าหมาย ปลายทางนั้นก็มักเป็นสถานที่นิรนามซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จัก เช่นน้ำตกซึ่ง “คนในละแวกนี้เท่านั้นที่รู้” (หน้า 55) หรือชายหาด “ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักและไม่ค่อยมีใครพักค้างคืน” เมืองที่เป็น “ชุมทางรถไฟ รถไฟทุกขบวนที่แล่นผ่านจะต้องหยุดแวะแม้จะเพียงครูเดียวก็ตาม” ไม่ก็สถานพักตากอากาศซึ่ง “เก่าแก่และทรุดโทรมจนไม่มีทางเชื่อมโยงไปถึงภาพอดีตอันงดงามได้” (หน้า 35) เหล่านี้คือที่หมายอันยากนักจะให้คนอ่านเชื่อว่าตัวละครจะหยุดอยู่ที่นี่จริงๆ คงไม่ผิดนักหากบอกว่าตัวละครของกิตติพล สรัคคานนท์คือนักเดินทางที่ถูกบังคับให้เต้นไปตามชีพจรรองเท้าตลอดเวลา ตรงนี้แตกต่างจากผู้เล่าเรื่องในสารคดีท่องเที่ยวทั่วไป กรณีนั้น ผู้อ่านอาจสัมผัสได้ถึงความพึงใจที่ได้ออกเดินทาง แต่กับตัวละครของคุณกิตติพล เหมือนพวกเขาถูกบังคับให้ออกเดินทางไปเรื่อยๆ ค้นหาชีวิตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะ “ชีวิตอยู่ที่อื่น” <br /><br />คำนำบรรณาธิการวาด รวี อ้างถึงว่าคุณกิตติพลเคยคิดจะใช้<em>อนาลัย</em> อันเป็นเรื่องสั้นสุดท้ายมาขึ้นปก ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาใช้ที่อื่น เห็นว่าเป็นการสมควรยิ่งนัก "อนาลัย" ออกจะมีจริตจะก้านมากเกินไป ชื่อที่สงวนท่าทีอย่าง "ที่อื่น" ดูจะเหมาะกับผลงานชิ้นนี้มากกว่า (ไม่นับว่า <em>อนาลัย</em> อาจเป็นเรื่องสั้นที่อ่อนสุดในเล่มด้วย) อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นแค่เหตุบังเอิญ แต่การที่รวมเรื่องสั้นชิ้นนี้เคยมีชื่ออื่น ยิ่งทำให้เรานึกถึงผลงานของกุนเดอระเข้าไปใหญ่ ก่อนนิยายเล่มนั้นจะชื่อ <em>ชีวิตอยู่ที่อื่น</em> มันเคยใช้ชื่อ <em>The Lyrical Age</em> หรือ <em>วัยกวี</em> มาก่อน<br /><br /><em>ชีวิตอยู่ที่อื่น</em> พูดถึงวัยหนุ่ม วัยสาว ส่วน <em>ที่อื่น</em> พูดถึงความตาย ที่สุดแล้วของการมีชีวิตอาจคือการสิ้นสุดชีวิตก็เป็นได้laughable-loveshttp://www.blogger.com/profile/04462755298243778712noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4296851738444792385.post-71456034350837219642007-08-11T02:32:00.000-07:002008-09-05T20:27:26.586-07:00ที่อื่น : เล่ห์เพทุบายใหม่ (ให้เริงใจไปอีกทางหนึ่ง)<blockquote>บทวิจารณ์โดย <strong>จิรัฏฐ์ เฉลิมแสนยากร</strong> อ้างจาก <a href="http://issuu.com/thai_writer_magazine/docs/write001">Write</a></blockquote><br />รวมเรื่องสั้น ที่อื่น ของ กิตติพล สรัคคานนท์ ตีพิมพ์ครั้งแรก มกราคม 2550 ได้เกิดแรงสะท้อนกลับจากคนอ่านรวมทั้งบทวิจารณ์มีออกมาบ้างพอสมควร ส่วนใหญ่ กล่าวไปในทำนอง “นอกจากจะสะท้อนความว่างเปล่า สมยอม ดูดาย เคลื่อนไหลไปตามแต่ขนบสังคมจะพาไปได้อย่างชัดเจน (ชัดจนเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง) ยังได้ใช้คุณสมบัติและคุณประโยชน์ของเรื่องเล่า เรื่องแต่ง (มหรสพที่จงใจจัดแสดงขึ้น) สะท้อนถึงความหวังของชีวิต ชีวิตที่ทุกผู้สุดท้ายจบลงที่ความตาย (ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร ผู้แต่ง ผู้อาน)” <strong>อุทิศ เหมะมูล</strong>”<br /><br />หรือ <strong>คุณรักชวนหัว</strong> เขียนไว้ในเว็บบล็อกของเขาว่า “ประเด็นที่คุณกิตติพลชอบพูดถึง (อย่างน้อยในเล่มนี้) คือ ความตาย ซึ่งแทรกอยู่แทบทุกบท ทุกบรรทัด” <br /><br /><strong>จริงหรือที่ตัวละครทั้งหมดในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ได้สะท้อนความว่างเปล่า สมยอม ดูดาย เคลื่อนไปตามขนบจะพาไป? และ จริงหรือที่ความตายที่แทรกไว้ตลอดทั้งเรื่องคือจุดมุ่งหมายปลายทาง?</strong> <br /><br />ถ้าหากคำตอบคือ จริง รวมเรื่องสั้นเล่มนี้ก็ไม่มีอะไรที่ข้าพเจ้าจะต้องขุดคุ้ยหาคำตอบอีกต่อไป เนื่องจากรวมเรื่องสั้นในยุคสมัยนี้หรือจะเรียกอย่างเป็นทางการว่าร่วมสมัย มักจะกล่าวถึงประเด็นนี้อย่างมากมายอยู่แล้ว<br /><br />แต่โชคดี คำตอบที่ข้าพเจ้าพบคือ ไม่จริง <br /><br />ถึงแม้ว่าทุกคนล้วนต้องตายเป็นสัจธรรมของชีวิต แต่รวมเรื่องสั้นเล่มนี้กลับย้อนถามสัจ-ธรรมดังกล่าว ว่าจริงหรือที่ความตายเป็นจุดหมายปลายทางหรือคือจุดสิ้นสุด?(ทั้งต่อตัวชีวิตผู้ตายเอง และต่อคนรอบข้าง)<br /><br />ก่อนอื่นขอกล่าวถึงลักษณะร่วมของตัวละครในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้เสียก่อน ตัวละครในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้มิได้มีลักษณะตัดขาดจากสังคมหรือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนด้วยกัน(ระหว่างตัวละครกับตัวละคร)อย่างขาดสะบั้น ไม่เหลือใย ไม่อาจพูดได้เต็มคำว่า “ว่างเปล่า” หรือ “ดูดาย” นั่นก็เพราะ “คนที่เปล่าเปลี่ยวแปลกแยกที่สุดจึงจะกลัวความอาทรจากคนอื่น เพราะความอาทรจากคนอื่นนำไปสู่ความเป็นหนี้และการผูกสัมพันธ์” *(<strong>มุกหอม วงษ์เทศ</strong> จากบทกล่าวตามในรวมเรื่องสั้นรักแรก ของ ซามูเอล เบกเก็ทท์)<br /><br />ตัวละครในเรื่องนี้มิได้กลัวการผูกสัมพันธ์กับตัวละครอื่นเลย ตรงกันข้าม ตัวละครกลับผูกสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือแม้แต่สถานที่อื่นเสมอๆ ในรูปแบบและการแสดงออกที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะนิสัยของตัวละครนั้นๆ เช่น “เขาจะโทรศัพท์ไปหาเธอ พูดคุยในเรื่องซึ่งทำให้เธอและเขาสบายใจ ส่วนเธอก็จะเล่าเรื่องเพื่อนร่วมแผนก พฤติกรรมแปลกๆของหัวหน้า” (<strong>เรื่องที่ขโมยมา</strong> หน้า 9) หรือ “เขาฝากลังกระดาษใบหนึ่งที่ภายในบรรจุเสื้อผ้าและหนังสือสองสามเล่มไว้กับร้านปะซ่อมยางของช่างแก่ๆ…ช่างชราแสดงท่าทางบ่ายเบี่ยงเหมือนจะไม่รับฝาก แต่ที่สุดก็ยินยอม” (<strong>เข้าเมือง</strong> หน้า 21) ที่เห็นได้ชัดคือตัวละครในเรื่อง <strong>ที่อื่น</strong> “เขา” เจอกับ “เธอ” หญิงสาวแปลกหน้าที่เขาพูดคุยอย่างสนิทใจ กระทั้งตามเธอไปที่น้ำตก ทั้งๆที่เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาเป็นเวลานาน (เพียงเพราะเขาไม่ใช่คนช่างพูดช่างเจรจา—หน้า 53) <br /><br />ดังนั้น จึงแสดงให้เห็นว่าตัวละครต่างมี (หรือพยายามจะมี) ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว <br /><br />นอกจากนี้ผู้อ่านยังพอจะทราบอีกว่าตัวละครประกอบอาชีพอะไร มีความสัมพันธ์กันแบบไหน(สามี ภรรยา ชู้ หรือหย่าขาดจากกัน) บางเรื่องผู้อ่านยังทราบถึงรูปพรรณสัณฐานของตัวละครว่ามีลักษณะเช่นไร เช่น “เขาหย่าร้างกับภรรยาไปเมื่อปลายปีที่แล้ว เขาเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบสองปี ผิวคล้ำ รูปร่างเล็ก มีสีหน้าและแววตาเหมือนจะมีความวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา จมูกที่แบนราบราวกับที่ราบลุ่มบนแผนที่ทางภูมิศาสตร์จมหายไปในโหนกแก้มทั้งสองข้าง มองด้านข้างใบหน้าของเขา จะแลดูคล้ายกับเนิ่นเตี้ยๆ สองสามเนินเหลื่อมซ้อนกันอยู่” (<strong>คืนหนึ่ง</strong> หน้า 31) อีกทั้งตัวละครต่างๆยังมีความทรงจำเป็นของตัวเอง และมักจะนึกย้อนกลับไปทุกครั้ง นี่จึงเป็นสิ่งยืนยันว่าตัวละครไม่ได้ว่างเปล่า <br /><br />สิ่งทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าตัวละครดูดาย นั่นเป็นเพราะผู้อ่านตามไม่ทันการใช้น้ำเสียงหรือเสียงเล่าของผู้เขียน เหตุที่ผู้เขียนเลือกใช้น้ำเสียงในการเล่าในลักษณะเรียบเฉย สงวนท่าทีหรือละไว้นั้น ก็เพื่อที่จะกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดการโต้ตอบ สะท้อนกลับ ต่อยอด รุกเร้าอารมณ์และความรู้สึกในแต่ละคนนั่นเอง(และได้ผลเสียด้วย) <br /><br />การลำดับความหมายของรวมเรื่องสั้นเล่มนี้<strong>มิได้เป็นไปในทางเดียว</strong>(ลูกศรทางเดียว) กล่าวคือ ไม่ได้เริ่มต้นที่ 0 ไปหา 10 หรือ 10 ไปหา 0 รวมทั้ง ไม่ได้เริ่มจาก มีชีวิต ไปหา ความตาย หรือ จากความตาย ไปหา ชีวิต<br /> <br /><strong>แต่เป็นไปในลักษณะลูกศรสองทาง</strong>หรือ การกลับไปกลับมา <br /><br />และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ อยู่บริเวณลูกศรสองทางนั่นเอง<br /><br />บริเวณลูกศรสองทางนี้เองที่ผู้เขียนให้สัญลักษณ์ คือ ถนน(รวมทั้งรางรถไฟ) อันหมายถึงลักษณะของการไป-กลับ <br /><br />ความน่าสนใจที่ผู้เขียนหยิบถนนมาใช้นั้น มิใช่เพียงแค่แสดงถึงทางผ่านหรือแสดงว่าตัวละครไร้จุดหมายปลายทางเท่านั้นแต่ยังแสดงให้เห็นถึงการเจือจางความหมายของจุดเริ่มต้นรวมทั้งปลายทางได้อีกด้วย กล่าวคือ ถ้าเราเริ่มต้นจากปลายทาง เพื่อที่จะไปสู่อีกปลายทางหนึ่ง และจากปลายทางนั้นถ้าเราย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น จุดเริ่มต้นนั้นก็คือปลายทาง การสลับไปมาของความหมายจุดหมายและปลายทางนี่เอง(หรือขั้วของคู่ในสิ่งอื่นๆ ดังจะกล่าวต่อไป) คือสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาในรวมเรื่องสั้น ที่อื่น<br /><br />“ชีวิต คือ การนับถอยหลัง เพียงแต่ไม่รู้แน่ชัดว่าควรเริ่มจากจำนวนใด สำหรับเขา ชีวิตเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ<strong>อีกเรื่องหนึ่ง</strong>เสมอ” <strong>ภาพปรากฏ</strong> หน้า 72 (เน้นโดยผู้เขียนบทความ)<br /><br />คำว่า อีกเรื่องหนึ่ง นั่นหมายความว่า มีอีก และอีกเรื่องนั้นก็คือ ความตาย<br /><br />“เขารู้สึกว่าเรื่องเล่าในลักษณะนี้มีจุดจบเหมือนๆกันคือลงเอยที่ความตาย พร้อมกับความรู้สึกที่เศร้าสร้อยและหดหู่ แต่ในทางกลับกันเรื่องเล่าทำนองนี้ทำให้คนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง อย่างน้อยก็ในความทรงจำของคนที่ยังต้องอยู่ต่อไป” (<strong>อนาลัย</strong> หน้า100)<br /><br />นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้โปรยปรายสัญลักษณ์ที่แสดงถึงลักษณะของเลขคู่ หรือสิ่งสองสิ่งที่อยู่ระหว่างปลายลูกศรสองข้างเอาไว้ในทุกเรื่อง เช่น<br /><br />ใช้บรรยากาศที่หมอกลงจัด อันเป็นช่วงระหว่างความคลุมเครือและความชัดเจน เช่น “เช้าวันนั้นหมอกลงหนาจัด ถัดจากสองสามก้าวออกไปหมอกสามารถบดบังการมองเห็นได้เกือบสมบูรณ์ ท้องถนนต้นไม้ ไหล่ทาง และบ้านเรือนซึ่งตั้งอยู่ห่างๆ <strong>จึงดูไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใด</strong> สำหรับผู้ขี่ยวดยานผ่านเส้นทางดังกล่าว” (<strong>เข้าเมือง</strong> หน้า 19) (เน้นโดยผู้เขียนบทความ)<br /><br />ใช้ฉากเวลาโพล้เพล้ อันเป็นเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างกลางวันกับกลางคืน เช่น ”ดวงอาทิตย์ทอแสงรำไรตรงขอบฟ้า เหมือนหยดน้ำผึ้งกำลังทิ้งตัวลงมาตามแรงโน้มถ่วง เพียงครู่เดียวดวงอาทิตย์ก็พลันเปลี่ยนเป็นสีชมพู” (<strong>ชั่วกาล</strong> หน้า 44) หรือ “ดวงอาทิตย์เพิ่งจะลับหายไปหลังทิวไม้ ประกายสีทองที่ปรากฏบนเส้นของหมู่เมฆที่จรดกับชายป่าดูเหมือนจะมีไฟลุกโชติช่วงอยู่ที่ใดสักแห่งหนึ่ง” (<strong>ภาพปรากฏ</strong> หน้า 68)<br /><br />ใช้ฉากเวลาเช้ามืด อันเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากกลางคืนไปสู่กลางวัน เช่น “เขาได้ยินเสียงนกดุเหว่าร้องเป็นจังหวะซ้ำๆอยู่ไกลๆ นาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีสี่ห้าสิบห้านาที” (<strong>คืนหนึ่ง</strong> หน้า 39)<br /><br />นอกจากบรรยากาศแล้ว ผู้เขียนยังแทรกเลข 2 เอาไว้เป็นระยะๆ อีกทั้งยังระดมการใช้สัญลักษณ์ในเชิงคู่ขนานและคู่ตรงข้ามอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่เห็นชัดเจนที่สุด จากเรื่อง <strong>คืนหนึ่ง</strong> เช่น ถนนขาดสองช่อง, เครื่องสายสองชิ้น, บ้านหลังนี้มีสองห้องนอน, ทรุดโทรม/งดงาม, งุนงง/กระจ่างชัด, บิดเบือน/ขยับขยาย,เหตุผล/เมามาย, ความฝัน/ความจริง เป็นต้น<br /><br />ในมิติของเวลาก็ยังปรากฏลักษณะคู่ขนานระหว่างปัจจุบันกับอดีต ด้วยการให้ตัวละครระลึกถึงความทรงจำ เป็นการนำความมีชีวิตเข้าไปใกล้ชิดกับความตาย เช่น ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับงานศพครั้งนั้นรางเลือนเต็มที เขาไม่อาจบอกได้ว่า เขารักแม่และเสียใจ เพียงแต่เขารู้แน่ชัดอย่างหนึ่งว่าถ้าแม่ของเขาตายลง ณ ตอนนี้ ความตายของแม่ย่อมมีความหมายแตกต่างจากตอนนั้นอย่างมากมายแน่นอน” (<strong>ภาพปรากฏ</strong> หน้า 70) <br /><br />หรือแม้แต่คำว่า “ที่อื่น ที่แปลว่า ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ตรงนี้ ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เพียงแต่ไม่ใช่ตรงนี้” (คำนำ) ก็แสดงให้เห็นถึงแรงตีกลับไปกลับมา เหมือนกับคำว่า ที่อื่น คือลูกเทนนิสที่ถูกตีโต้กลับไปมาระหว่างสองฝั่ง <br /><br />ถ้ายืนอยู่ฝั่ง “มีชีวิต” ที่อื่นจะถูกกระทบชิ่งไปที่ฝั่ง “ความตาย”<br /><br />แต่ถ้ายืนอยู่ในฝั่ง “ความตาย” ที่อื่นจะถูกกระทบชิ่งไปที่ฝั่ง “มีชีวิต” <br /><br />อย่างไรก็ตาม รวมเรื่องสั้นเล่มนี้บอกแก่เรา(ในระดับผิวเผิน) ว่า เส้นแบ่งระหว่าง “มีชีวิต” กับ “ความตาย” มิได้ชัดเจนเหมือนดังตาข่ายคั่นฝั่งในสนามเทนนิส หากมันคลุมเครือ เลือนราง คาบเกี่ยว บางครั้งอาจทำให้เข้าใจผิดไปได้ว่า ทั้งสองฝั่งล้วนทับซ้อนกันอยู่ในที (สังเกตได้ชัดเจนจากเรื่อง เข้าเมือง) นี่จึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เขียนถึงไม่ใช้คำว่า <strong>อนาลัย</strong> นั่นก็เพราะ ทั้งสองฝั่งต่างยังพัวพันหรือสัมพันธ์กันอยู่อย่างแยกไม่ออกนั่นเอง <br /><br />ถึงแม้ว่าเรื่องสั้นทั้งหมดในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้จะแสดงให้เห็นถึงความคาบเกี่ยว พร่าเลือน คลุมเครือของเส้นแบ่งระหว่างการมีชีวิตกับความตาย รวมทั้งสรรพสิ่งอื่นๆไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคำ บรรยากาศ สถานที่ และตัวละครที่เป็นลักษณะคู่ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่อีกด้านหนึ่ง กลับทำให้ผู้อ่านเห็นว่าเส้นคั่นฝั่งนั้นชัดเจนจนคมกริบ <br /><br />ผู้เขียน(รวมทั้งผู้อ่าน)มีชุดความเข้าใจในฝั่งและเส้นแบ่งฝั่ง(ความมีชีวิตและความตาย)เป็นอย่างดีอยู่แล้วโดยประสบการณ์ในชีวิตจริง แต่ผู้เขียนจงใจเจือจางมันให้เลือนราง ด้วยการสร้างมหรสพแห่งชีวิตขึ้น(เรื่องแต่งทั้ง 12 เรื่องนี้) พร้อมมูลด้วยการแทรกสัญลักษณ์ของความคาบเกี่ยวและการกลับไปกลับมาเอาไว้ตลอดทั้งเล่ม(ดังที่วิเคราะห์มาข้างต้น)<br /><br />การกระทำดังกล่าวมิใช่อะไรอื่น นอกเสียจากสะท้อนให้เห็นถึงความกลัวในจิตใจของมนุษย์ เมื่อรับรู้ถึงสัจธรรมของชีวิต(ไม่ว่ากลัวที่จะอยู่ หรือกลัวที่จะตาย สุดท้ายทุกคนก็ต้องตาย) แต่ก็บ่ายเบี่ยง หลีกเลี่ยง กลับไปกลับมา หรือแม้แต่ให้ความหมายใหม่ จนสัจธรรมนั้นเลือนราง ทั้งนี้ก็เพื่อปลอบประโลมใจ และทำให้ผู้อ่าน(หรือตัวผู้เขียนเอง)เริงใจไปอีกทางหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับทางที่ตนไม่ปรารถนา <br /><br />และการที่หนังสือเล่มนี้นำประโยคของ ลูเครทุส มาโปรยไว้ก่อนเข้าเรื่องว่า “...ความตายซึ่งทำให้เจ้าท้อแท้และบ่ายหน้าไปจากความเริงใจในอีกหนหนึ่งน่ะหรือ ก็ในเมื่อชีวิตที่จ้าใช้มาจนกระทั่งบัดนี้เป็นสิ่งล้ำค่า...แล้วใยเจ้าจะไม่หาตอนจบให้แก่มัน หรือเจ้าหวังจะให้ข้าคิดเล่ห์เพทุบายใหม่ขึ้นมาขึ้นมาเพื่อลวงเจ้า” <br /><br />เป็นประโยคที่เตือนผู้อ่านอยู่กรายๆแล้วว่า รวมเรื่องสั้นที่จะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเพียง เล่ห์เพทุบายใหม่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อลวงให้ผู้อ่านไปอยู่ในอีกที่ทางหนึ่ง ทางที่เรียกว่า <strong>ที่อื่น</strong> นั่นเองlaughable-loveshttp://www.blogger.com/profile/04462755298243778712noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4296851738444792385.post-47279181108764263462007-08-10T18:40:00.000-07:002008-09-05T20:28:15.039-07:00ที่นี่ฉงนฉงาย ที่ไหนฉลาดเฉลียว - "ที่อื่น"<blockquote>บทวิจารณ์โดย <strong>วรวิช ทรัพย์ทวีแสง</strong> อ้างจาก<a href="http://modepanya.wordpress.com/2008/06/11/the_other_place/">หมดปัญญา</a></blockquote><br />กล่าวได้อย่างโดยรวมว่า รวม 12 เรื่องสั้น ‘ที่อื่น’ นั้น ได้นำภาษาอันเรียบง่ายธรรมดามาให้ออกมาในบริบทที่ซับซ้อน ซึ่งทำให้ยากต่อการทำความเข้าใจ อาจต้องใช้สมาธิอย่างสูงในการอ่านเพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์ที่แสนจะธรรมดานั่นออกมาได้อย่างปะติดปะต่อ<br /><br />การทำให้เรื่องราวธรรมดาให้กลับน่าสนใจขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่ต้องใช้ทักษะในการเรียบเรียง เพื่อได้เรื่องราวที่น่าติดตามและชวนผู้อ่านให้ได้เห็นมุมและประเด็นใหม่ของเรื่อง หรืออาจจะรวมความไปจนถึงการตีความด้วย เหมือนอย่างที่ ‘วาด รวี’ ผู้รับหน้าที่บรรณาธิการของรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ได้กล่าวชวนให้ผู้อ่านตีความไว้ดังนี้<br /><br />“…รวมเรื่องสั้น ที่อื่น ที่ท่านกำลังจะได้อ่านนั้น ผู้เขียนเคยคิดจะใช้อีกชื่อหนึ่ง คือ อนาลัย แต่ไม่รู้ผู้เขียนนึกอย่างไรจึงกลับมาใช้ชื่อ ที่อื่น ซึ่งเป็นชื่อเดิมอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเป็น ที่อื่น หรือ อนาลัย ล้วนเป็นชื่อที่ต้องตีความ…”<br /><br />การตีความนั้นจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานที่เข้าใจเนื้อความของเรื่องนั้นเสียก่อน แล้วจึงนำเนื้อความนั้นมาขบคิดและตีความต่อความหมายที่แฝงไว้ หากแต่รวมเรื่องสั้น ‘ที่อื่น’ ได้สร้างอุปสรรคแก่ผู้อ่านในการเข้าใจเนื้อความเบื้องต้น ผู้อ่านบางท่านอาจอ่านไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ซึ่งการจะทำความเข้าใจกับเนื้อความที่ผู้เขียนต้องการสื่อสาร ผู้อ่านต้องนำเรื่องราวเหล่านั้นมาเรียบเรียงในจินตนาการของผู้อ่านเองเสียใหม่อีกครั้ง<br /><br />เมื่อผู้อ่านทราบเนื้อความต่างๆ ชัดเจนดีแล้ว เนื้อความเหล่านั้นก็มิได้มีการดึงดูดให้ผู้อ่านได้ตีความแต่อย่างใด เป็นเพียงเนื้อความเรียบๆ ง่ายๆ ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมเมือง หรือจะเกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง ที่ร้านอาหารเศร้าๆ แห่งหนึ่งริมทางหลวงก็ได้ทั้งนั้น ซึ่งทำได้เพียงแค่ชวนให้ผู้อ่านเกิดความสงสัยเท่านั้น ว่าเหตุใดต้องเป็นเวลาบ่าย เหตุใดต้องเป็นในร้านอาหาร ร้านอาหารเศร้าๆ นั้นเป็นอย่างไร ทำไมต้องอยู่ริมทางหลวง เพราะมันอยู่ริมทางหลวงหรือมันจึงได้เศร้า เป็นต้น<br /><br />เรื่องของการตีความนั้นขึ้นอยู่กับผู้เขียนว่าจะมีความสามารถในการแฝงความหมาย เพื่อตอบรับกับการตีความของผู้อ่านได้มากน้อยเพียงใด มิใช่แค่การสร้างความงุนงงสงสัยให้ผู้อ่านเพียงเท่านั้น<br /><br />เรื่องราวใน ‘ที่อื่น’ นั้นไม่ได้ระบุว่าเกิดขึ้นที่ไหน ไม่มีแม้แต่ชื่อตัวละคร เป็นแต่เพียงคำสรรพนาม ‘เขา’ และ ‘เธอ’ ที่นอกเหนือจากนั้นจะบ่งบอกด้วยสถานะที่ตัวละครนั้นเป็น เช่น พ่อ, แม่, สามี, ภรรยา, เพื่อน, ตำรวจ, ทหาร, พนักงาน ฯลฯ แต่ละเรื่องสั้นได้พูดถึงความสัมพันธ์ของคน ความรัก ความตาย ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่ว่าสังคมใดๆ ต้องพบเจอ โดยผู้เขียนได้เน้นไปที่มุมมองของชนชั้นกลางซึ่งเห็นได้ชัดเจนในเรื่องสั้นทั้ง 12 เรื่อง มีความเป็นไปได้ว่า ‘ที่อื่น’ แห่งนั้นคือ ‘โลกของชนชั้นกลาง’<br /><br />เมื่ออ่านไปจนถึงเรื่องสุดท้ายแล้ว (เรื่อง ‘อนาลัย’) มีความโน้มเอียงทำให้ผู้อ่านคิดถึงเหตุการณ์ไม่สงบในภาคใต้ของประเทศไทยเรา แต่มิได้มีการระบุไว้เป็นข้อความหรือหลักฐานทางอักษรว่าผู้เขียนหมายความถึงเหตุการณ์ไม่สงบในภาคใต้ของไทย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเรื่องสั้นทั้ง 11 เรื่องเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ใดๆ เพราะไม่ระบุไว้ และไม่ชวนให้คิดถึงเหตุการณ์ใดๆ ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งโดยเฉพาะ<br /><br />เรื่อง ‘อนาลัย’ นั้นได้ตีกรอบจินตนาการผู้อ่านเพื่อให้นำไปเติมลงในช่องว่างของเรื่องสั้นทั้ง 11 เรื่องก่อนหน้า คือ เรื่องทั้งหมดในเรื่องสั้นทั้ง 12 เรื่องอาจเกิดขึ้นในภาคใต้ของประเทศไทย หรือ เกิดในส่วนต่างๆ ของประเทศไทยนี่เอง<br /><br />ซึ่งเมื่อผู้อ่านเป็นคนไทยได้อ่านรวมเรื่องสั้น ‘ที่อื่น’ ก็เป็นไปได้ง่ายที่จะคิดถึงสถานที่ใกล้ๆ ตัวอย่างแถวบ้าน หรือแถบจังหวัดของตัวเองอยู่แล้ว<br /><br />เป็นไปได้ยากมากที่ผู้อ่านจะได้คิดถึงคำว่า ‘ที่อื่น’ ในความหมายของสถานที่ใดๆ ที่อาจมีหรือไม่มีอยู่จริง แม้เพียงให้ผู้อ่านคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในส่วนใดๆ ของโลกก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน<br /><br />แต่มันได้มีการตีกรอบจินตนาการของผู้อ่าน(อย่างน้อยก็ผู้อ่านที่เป็นคนไทย)ให้แคบลงไปอีก ด้วยเรื่องสั้นเรื่องสุดท้าย ‘อนาลัย’ ซึ่งไม่ควรจัดรวมอยู่ในเล่มนี้ที่สุด<br /><br />ปัญหาและความคิดเหล่านั้นไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ มันได้เกิดอะไรขึ้น แล้วส่งผลอย่างไรต่อผู้อ่าน ผู้อ่านสามารถจะรู้สึกได้แค่ไหน แล้วผู้เขียนเองได้เอื้อให้ผู้อ่านตีความเนื้อความเหล่านั้นมากน้อยอย่างไร<br /><br />ในบรรดาเรื่องสั้นทั้ง 12 นั้นโดยตัวเนื้อเรื่องแล้วให้อารมณ์ต่างๆ กัน แต่ด้วยภาษาของผู้เขียนและการสร้างบริบทที่ใส่ความ ‘คิดมาก’ ลงไปอย่างเบียดแน่นของทุกประโยค ทำให้อารมณ์ของเรื่องสั้นทั้ง 12 นั้นออกมาในแนวเดียวกัน เป็นเสียงเล่าของผู้ที่รู้ที่เห็นทุกสิ่ง มีความฉลาดปราดเปรื่อง อาจเรียกได้ว่าเป็นเสียงเล่าของ ‘พระเจ้า’ ทำให้ในบางอารมณ์ก็แยกไม่ออกว่ากำลังอ่าน ‘คำเทศนา’ หรือ ‘เรื่องราว’ กันแน่<br /><br />ผู้เขียนมีความโดดเด่นในด้านความคิดอันบรรเจิด หากได้สอดแทรกความคิดเหล่านั้นอย่างพอเหมาะพอเจาะและเติมความมีชีวิตของตัวละครให้โดดเด่นขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับความโดดเด่นของรูปแบบ จะทำให้งานของผู้เขียนมีความสมดุล และทำให้งานของผู้เขียนกระทบใจผู้อ่านได้มากขึ้นlaughable-loveshttp://www.blogger.com/profile/04462755298243778712noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4296851738444792385.post-72994732615081103892006-08-11T02:58:00.000-07:002008-08-11T17:30:16.365-07:00ที่อื่น: วิเวกวิถี มนุษย์บนเวที (ภาระของชีวิต ธุระของความตาย)<blockquote>บทวิจารณ์โดย <strong>อุทิศ เหมะมูล</strong> อ้างจาก<a href="http://www.onopen.com/2007/editor-spaces/2408">โอเพ่นออนไลน์</a></blockquote><br />“คราวนี้มันจะเป็นการเดินทางไปสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก ไปสู่ดินแดนภายในตัวผม และในใจกลางของเยอรมนี ผมรู้ว่าผมต้องการอะไร แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร จากนั้นเอง ทุกสิ่งก็เริ่มต้นด้วยภาพภาพหนึ่ง”<br /><br /><strong>Wim Wenders, The Logic of Images</strong><br /><br /><strong>อ้างจากหนังสือ ฟิล์มไวรัส: คู่มือผู้บริโภคหนังนานาชาติ หน้า 72</strong><br /><br />วิม เวนเดอร์ส คือผู้กำกับเยอรมันคนสำคัญในกลุ่ม New German Cinema (1960 – 1980) ซึ่งปัจจุบันเขายังคงสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง หนังหลายเรื่องของเวนเดอร์สมีลักษณะเฉพาะตัวจนกลายเป็นเอกลักษณ์ อันเกี่ยวกับ ‘ตัวหนัง’ ที่เริ่มต้นออกตามหา ‘ตัวเรื่อง’ หนังของเวนเดอร์สเริ่มต้นที่ภาพภาพหนึ่ง ที่ไหนสักแห่ง เมื่อตัวละครก้าวเข้าเฟรมมา เขาเริ่มออกตามหาเรื่องราวของเขา พร้อมๆ กันนั้นตัวหนังก็ออกตามหาเนื้อเรื่อง (ซึ่งไม่เคยมีอยู่ก่อนในฐานะบทภาพยนตร์) ตัวละครเผชิญหน้ากับสถานที่แปลกตา ค้นหาตัวเองจากตำแหน่งที่ตนลัดเลาะเดินทางผ่านไป ภาพภูมิทัศน์ค่อยๆ สร้างชีวิตของเขาขึ้น ด้วยเรื่องราวและเศษเสี้ยวหลากหลาย จนสุดท้ายเขาค้นพบจุดหมายในตัวเอง<br /><br />ยกตัวอย่างเช่น ในหนังขนาดยาวเรื่องแรกของเวนเดอร์ส Summer in the Cty (1971) ตัวหนังบันทึกภาพตึกรามบานช่อง ท้องถนน จัตุรัส ตรอกซอย และคูคลองในมหานครเบอร์ลิน ผ่านสายตาของฮานซ์ ตัวละครเอกซึ่งถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำหลังผ่านไปสองปี คนดูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฮานซ์ เขาเองก็ไม่ช่างพูด เราเพียงได้แต่จับจ้องเขา ผ่านการกระทำในชั่วขณะปัจจุบัน เขาเร่ร่อน ไร้หลักแหล่ง มีคนรู้จักอยู่บ้าง หลักฐานเหล่านี้ได้เผยอดีตบางอย่าง ไม่ใช่ผ่านทางคำพูด แต่ผ่านทางภาพที่เห็น ภาพที่ว่านั้นคือส่วนเสี้ยวต่างๆ ของนครเบอร์ลิน เมืองที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เขาถูกจำคุกสองปี เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกแปลกแยก ถูกทำให้เป็นอื่น และตอนนี้เมืองบ้านเกิดจ้องมองมาที่เขา ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการเผชิญหน้าทำให้เกิดภาวะเข้มข้นของทั้งสองฝ่าย เมืองมองเขาอย่างเป็น ‘คนอื่น’ เขามองเมืองอย่างเป็น ‘ที่อื่น’<br /><br />อย่างเลวร้ายที่สุด ตัวละครในหนังของเวนเดอร์สยังได้รับโอกาสในการตั้งต้นชีวิตใหม่ ขณะที่หลากตัวละครในรวมเรื่องสั้น ที่อื่น ได้รับการเริ่มต้นใหม่ก็หลังจากสิ้นชีพแล้ว ในฐานะ ‘เกิดใหม่’ ภายหลังการตระหนักรู้ภาวะดับสูญจากความว่างเปล่าและเฉยชาเมื่อครั้งยังดำรงชีวิต<br /><br />ผู้เขียนบทความเกริ่นนำถึงผู้กำกับชาวเยอรมันกับหนังของเขา เพราะมองเห็นความสอดพ้องประการหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้เข้าใจกลวิธีการเล่าเรื่องในเรื่องเล่าที่มีความเป็นไปได้อยู่หลากหลายแนวทาง รวมเรื่องสั้นที่อื่น ของกิตติพล สรัคคานนท์ ให้สัมผัสทางสุนทรีย์ที่แปลกต่าง ด้วยสัดส่วนของความโดดเด่นที่แท้จริง หรือตัวละครนำในรวมเรื่องสั้นชุดนี้ ไม่ใช่บุคคล แต่คือบรรยากาศของสถานที่<br /><br />สถานที่หนึ่ง ภาพภาพหนึ่ง ปรากฏการณ์หนึ่ง ซึ่งค่อยๆ เปิดเผยให้เห็นอยู่เบื้องหน้า (ผู้อ่าน) เป็นเสมือนลานเวทีที่กำกับพฤติกรรมของตัวละครไร้นาม ไร้ใบหน้า มีเพียงสรรพนามเรียกที่เราคุ้นเคยกันดีกว่า เขา กับ เธอ ตัวละครไม่เชิงว่าไร้อดีต ส่วนปัจจุบันของเขา/เธอก็เป็นเรื่องที่น่าสั่นไหว และอนาคตก็เป็นเรื่องที่น่าอ่อนอกอ่อนใจยิ่งกว่า ในแต่ละเรื่องสั้นมีปรากฏการณ์สั้นๆ หนึ่งชุด ที่ซึ่งตัวละครต้องมาพบจุดจบลงด้วยความสะท้อนใจ วัฏฏะของตัวละครเสมือนติดหล่มอยู่ในเมืองต้องสาป เข้มข้นด้วยสภาวะถูกทอดทิ้ง อบอวลด้วยความรู้สึกเดียวดายชาชิน<br /><br />เหล่าตัวละครมีความเป็นอื่น หรือถูกทำให้เป็นอื่น?<br /><br />หลากสถานที่มีความเป็นที่อื่น หรือถูกทำให้เป็นที่อื่น?<br /><br />หรือคนกับสถานที่ก่อปฏิสัมพันธ์จนทำให้เกิดภาวะ คนอื่น-ที่อื่น ต่อกัน<br /><br />ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสถานที่ในรวมเรื่องสั้นชุดนี้ มีนัยยะความหมายโต้ตอบสัมพัทธ์กันอย่างน่าตีความ เฉพาะอย่างยิ่งการตั้งชื่อรวมเรื่องสั้นว่า ‘ที่อื่น’ กับหลากตัวละครไร้นาม และสถานที่ซึ่งระบุตำแหน่งที่ตั้งไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นแต่ละเรื่องสั้นจากทั้งหมด 12 เรื่อง ก็โต้ตอบกับสำนึกรับรู้ของผู้อ่านในแง่ที่ว่า แม้ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นที่ไหน แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นในประเทศไทย บริเวณภาคกลางเลาะเลียบไปทางภาคใต้ แคบเข้าอีกคือบริเวณชานเมืองอันเงียบสงบ กับชีวิตผู้คนที่วนเวียนกับกิจกรรมซ้ำเดิม แม้หากต้องเจอหรือเอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวกับปรากฏการณ์เฉพาะหน้า เหล่าตัวละครก็จัดการกับปรากฏการณ์เฉพาะหน้านั้นด้วยทำให้เป็นเรื่องคุ้นชินแสนสามัญ ดังว่าชีวิตของตัวละครนั้น (ถูกกำหนดมาก่อนหน้านี้แล้ว) แผดเผาเรื่องราวและหลอมละลายปรากฏการณ์ ให้กลายสภาพเป็นเรื่องสามัญแสนชาชิน เย็นชา และดูดาย<br /><br />ในเรื่องแรก <strong>เรื่องที่ขโมยมา</strong> สถานที่ตั้งเรื่องราวคือบนถนนเกิดการจราจรติดขัด ทุกคนต่างคาดคะเนว่าเบื้องหน้าคงมีอุบัติเหตุบนท้องถนน ตัวละครเขา โทรหาหญิงสาวคนรัก เธอ ซึ่งทำงานอยู่ห้างสรรพสินค้า ระหว่างนั้นเขาถูกตำรวจเรียกตรวจใบขับขี่ ตำรวจเห็นบัตรซึ่งมีตราสัญลักษณ์บางอย่าง จึงโค้งคำนับและรีบปล่อยเขาไป เรื่องจบลงเพียงเท่านี้แล้วขึ้นเรื่องใหม่ เกี่ยวกับคู่สามีภรรยาวัยกลางคนขับรถบนท้องถนนที่ติดขัดเช่นกัน ฝ่ายสามีทำงานสำนักงานกฎหมาย ฝ่ายภรรยาทำงานบริษัทขายปากกา ภรรยาเล่าเรื่องฆ่าเวลาระหว่างรถติดให้สามีฟัง เรื่องเล่านั้นเกี่ยวกับความตายที่น่าขัน (หรือถูกมองให้เป็นเรื่องขัน) วิถีหาเรื่องเริงรมย์จากความตายในเรื่องเล่านี้ ดำเนินต่อมาในเย็นของอีกวัน เมื่อสองสามีภรรยาขับรถกลับบ้านในเส้นทางเดิม ภรรยาเล่าถึงเหตุที่รถติดเมื่อวานว่า มีชายคนหนึ่งใช้ปืนฆ่าตัวตายในรถแท็กซี่หลังจากใช้ปืนกระบอกเดียวกันฆ่าภรรยาของเขาที่ห้างสรรพสินค้า เขาเป็นตำรวจและภรรยาของเขาเป็นพนักงานห้างสรรพสินค้า<br /><br />ในเรื่องสั้นนี้มีชิ้นส่วนหรือเค้ารางให้ปะติดกันอย่างหลากใจ เขา ในตอนเริ่มเรื่อง (ผู้โทรหาหญิงคนรักที่ห้างสรรพสินค้า โชว์ตราสัญลักษณ์จนตำรวจต้องรีบปล่อยเขาไป ในเส้นทางที่เขาไม่คุ้นชินตอนบ่ายวันจันทร์) มีความเป็นไปได้ว่าคือ สามีนักกฎหมาย ผู้ลักลอบนอกใจภรรยา และความลับของเขานั้นถูกเปิดเผยผ่านเรื่องเล่าของภรรยา เขาเพียงแต่ดูดายที่ได้ฟัง (ในฐานะมีส่วนสัมพัทธ์ในเรื่องโศกนาฏกรรมสามเส้านั้นด้วย) และสนองตอบต่อความตายนั้นในฐานะเรื่องเริมรมย์ฆ่าเวลาระหว่างขับรถกลับบ้าน<br /><br />ในรวมเรื่องสั้นที่อื่น พฤติกรรมตัวละครที่ตอบสนองต่อชีวิตอื่นๆ อย่างดูดาย และมองความตาย การสูญเสีย ในฐานะมหรสพนั้น มีสัดส่วนพอๆ กับ การหลงเลือน การไม่รู้สถานะ ตำแหน่งที่ตั้งของตัวเอง ดังจะเห็นได้จากเรื่องสั้นเรื่องเข้าเมือง และการแสดง<br /><br />‘เขาเดินติดตามผู้ชายสองคนไปยังจุดเกิดเหตุ เขาไม่รู้เหตุผลแน่ชัดว่าทำไมจึงต้องไปที่นั่น เขาเดิน เขาคิด ทว่ายังไม่เข้าใจ’ (หน้า 21)<br /><br /><strong>เข้าเมือง</strong> เล่าเรื่องชายคนหนึ่งนั่งรถสองแถวเพื่อเข้าไปในเมือง ในสภาพถนนที่หมอกลงจัด มีรถโดยสารอีกคันตีคู่กันมาพยายามจะแย่งผู้โดยสารกัน ในการรับรู้ของเขาเรื่องอย่างนี้เป็นปกติวิสัยของรถโดยสาร แม้จะเสี่ยงต่ออุบัติเหตุและความตาย และเขาก็รับรู้ว่ารถโดยสารอีกคันพุ่งตกเหวข้างทาง ส่วนรถที่เขานั่งได้จอดข้างทาง เขาลงจากรถเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ถือโอกาสเข้าสู่อุทยานความตาย (สถานที่เกิดเหตุ) ในฐานะมหรสพชนิดหนึ่ง เขาเดินตามชายแปลกหน้าสองคนที่เดินนำทางไปก่อน บรรยากาศความตายเข้มข้นห้อมล้อมเขา ไม่นานเขารู้แน่ชัดว่าชายแปลกหน้าสองคนนั้นคือวิญญาณที่จะข้ามไปอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ และวินาทีที่ชายแปลกหน้าหันมามองเขานั่นเอง จึงรู้ว่าตนเองก็เป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่ตายไปแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าอยู่ฟากฝั่งหรือตำแหน่งใดจนความตายหันมาสบตากับเขา เรื่องสั้นเรื่องนี้อุดมด้วยชั้นเชิงการเล่าแบบสงวนท่าที เสนอภาพเปรียบและนัยยะคู่ตรงข้ามของชีวิตกับความตายอย่างมีเสน่ห์ การเล่นล้อกับความหมายชื่อเรื่อง เข้าเมือง อย่างแยบยล และเปี่ยมด้วยอารมณ์กวี<br /><br /><strong>การแสดง</strong> ชายคนหนึ่งยอมตัวเข้าไปอยู่ในเกมการละเล่นของหญิงสาวแปลกหน้า ด้วยเธอขอร้อง(เตี้ยม)ให้เขามาปรากฏตัวที่โรงงานในฐานะคนรักของเธอ เพื่อว่าปัญหารักสามเส้าของเธอจะได้คลายความสงสัยและถูกสะสางจากบรรดาสายตาของเพื่อนร่วมงาน เขา ในฐานะคนแปลกหน้า นำตนเองเข้าไปในฐานะตัวละครบนเวทีชีวิตของเธอ ไม่ใช่มีเจตนาเพื่อช่วยเหลือ แต่เพื่อสนองความตื่นใจแก่ชีวิตร้างไร้ชีวาของตนเองที่แฝงน้ำเสียงดูดายอย่างร้ายกาจ ‘เขาเลือกทำเพราะไม่มีเหตุผล ไม่ใช่เพราะคิดหาเหตุผลไม่ได้ แต่เขาแค่อยากจะเริ่มทำอะไรในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลชักจูงดูบ้าง ผลสำเร็จทั้งหมดไม่ได้อยู่กับตัวเขา และเขาก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบสำหรับความล้มเหลวใดๆ นี่คือคำอธิบายว่าทำไมเขาจึงมายืนอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้’ (หน้า 25)<br /><br /><strong>คืนหนึ่ง</strong> ชายวัย 32 หย่าร้าง เดินทางไปพักผ่อนที่บ้านพักชายทะเลในวันครบรอบคล้ายวันเกิดของเขา เขาหนีจากเวทีชีวิตมนุษย์เงินเดือน แต่ก็ต้องจับพลัดจับผลูมาอยู่ในเวทีที่เกิดฉากฆาตกรรมสยดสยองขึ้น ดังว่าชีวิตของเขามีเวทีให้ยืนอยู่เพียงไม่กี่แห่ง<br /><br /><strong>ชั่วกาล</strong> เล่าถึงชายหนุ่มหญิงสาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ฝ่ายชายมีความโศกสูญนับอนันต์ในอดีตซึ่งทำให้ชีวิต ณ ปัจจุบันของเขาเต็มด้วยความอ้างว้างว่างเปล่าที่เลวร้ายกว่าความทุกข์ทรมาน ส่วนฝ่ายหญิงมีชีวิตระเหเร่ร่อนมาโดยตลอด จนรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นของที่ใด จิตใจเธอเต็มเปี่ยมด้วยความโดดเดี่ยวไม่มีที่สิ้นสุด ในปัจจุบันทั้งสองอยู่ด้วยกัน และฝ่ายหญิงตระหนักว่าถึงเวลาที่เธอต้องโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นอีกครั้ง<br /><br /><strong>ที่อื่น</strong> ชายหนุ่มพนักงานขายตรงเดินทางไปต่างจังหวัด เข้าพักโรงแรมชั้นสองแห่งหนึ่ง เขาได้พบกับหญิงสาวแปลกหน้าในท้องที่ ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอ เขาพึงใจที่ได้รับไมตรีจากหญิงสาวเจ้าถิ่น ส่วนเธอรู้สึกผูกพันด้วยว่า เขาหน้าตาคล้ายน้องชายที่เสียชีวิตไปแล้ว เธอชักชวนเขาออกนอกเมืองไปชมน้ำตก ในเส้นทางรกเรื้อซึ่งคนในท้องที่เท่านั้นรู้จักมักคุ้น เขาหลงกับเธอ จึงนำเรื่องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ แต่แล้วความเป็นห่วงอย่างสุจริตของเขากลับผูกมัดเขาให้กลายเป็นผู้ต้องหาในตอนท้าย<br /><br /><strong>ในวันที่อากาศดี</strong> เล่าถึงภาพประทับสุดท้ายของชายชราที่ถูกรถชนอยู่บนถนนสายเปลี่ยว หลังกลับจากงานแต่งงานของลูกสาว เขากำลังจะตายและได้ระลึกย้อนกลับไปถึงวันแสนงามที่ตนกับลูกสาวมีต่อกัน<br /><br /><strong>ภาพปรากฏ</strong> นำเสนอภาพชีวิตจำเจ เฉื่อยเนือย ที่แม้ความตายได้บังเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวก็ไม่ได้ทำให้ใครเปลี่ยนแปลงไป ‘ดูเหมือนความตายของพ่อจะเป็นเพียงความแปลกแยกที่ไม่เกี่ยวข้องกับใครคนใดเลย’ (หน้า 72) เขา ลูกชายคนกลาง จัดการกับบ้านช่องและข้าวของน้อยชิ้นของพ่อ อันเป็นสิ่งของยังประโยชน์ให้กับน้องชายและพี่สาว เรื่องนี้นำเสนอภาพชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไปของบรรดาลูกๆ ด้วยความรู้สึกเฉยชา มีเพียงเขา ลูกชายคนกลางที่ตระหนักคิดได้ว่า แท้แล้ว ‘ชีวิตคือการนับถอยหลัง เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าควรเริ่มจากจำนวนใด’ (หน้า 72) ตัวความตายดูจะเป็นการพ้นไปจากความทุกข์และการถูกทอดทิ้ง มีเพียงผู้ดำรงอยู่เท่านั้นที่รอเวลานับถอยหลัง ในสภาพความสัมพันธ์แปลกเปลี่ยวต่อครอบครัวและสังคม กระทั่งกับตัวเวลาและสถานที่ แต่การตระหนักนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาลุกขึ้นมาทำอะไร เพียงดำเนินชีวิตอย่างที่เคยทำต่อไป และ ‘อ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่เสนอเรื่องราวแปลกๆ ของเมืองที่เขาอยู่’ (หน้า 72) ฉากที่ปรากฏนี้เอง ทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงบ่วงบาปของความดูดาย ประหนึ่งเรา ‘กำลังอ่านภาพปรากฏที่เสนอเรื่องราวแปลกๆ ของเมืองที่เขาอยู่’ ซ้อนทับกันอยู่ในที สุดท้ายยังมีเสียงหัวเราะเยาะปริศนากำกับชีวิตของเขาอีกด้วย<br /><br /><strong>ฆาตกรรม</strong> เล่าถึงภาพชีวิตสามัญของครอบครัวหนึ่งซึ่งพาลูกๆ ออกไปดูหนังในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่แล้วผู้พ่อถูกชายนิรนามสามคนลักพาไปท้ายตรอกและฆ่าทิ้งเสีย เรื่องสั้นนี้เหมือนพยายามตั้งคำถามกับความสมเหตุสมผลของสองเหตุการณ์ ภายในเรื่องแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับฉากชีวิตในครอบครัว ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับฉากฆาตกรรม เมื่อวางเคียงกันในเรื่องเดียว จึงเกิดข้อกังขาถึงความขัดแย้งและสมเหตุผล ไม่เพียงแต่ผู้อ่านเท่านั้นที่กังขา ตัวละครผู้พ่อซึ่งตกอยู่ในสภาวะดังกล่าวก็กังขาต่อปรากฏการณ์นี้เช่นเดียวกัน เรื่องนี้ผู้ประพันธ์วางตัวเสมือนหนึ่งแพทย์ผ่าตัด ทั้งชำแหละและตัดแต่งเหตุการณ์ เพื่อวินิจฉัยบริบทหลากหลาย ดังว่าความตายนั้นมีหลากหลายรูปแบบ แต่หลากหลายรูปแบบนั้นขึ้นตรงต่อความตายหนึ่งเดียว<br /><br /><strong>การเดินทาง</strong> เล่าถึงชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งลักลอบมีสัมพันธ์กัน ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายมีสามีภรรยากันอยู่แล้ว เรื่องเกิดขึ้นในรถโดยสารในสภาพจอดตายบนถนนอันเกิดจากอุทกภัย เวลาที่ยืดยาวหาความแน่นอนไม่ได้ เสมือนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนิรันดร์ เปลี่ยนบริบทของคนทั้งคู่ที่มักลับลอบเจอกันเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เสมอมา ให้ก้าวข้ามเส้นความลับสู่การเปิดเผย โดยมีอุทกภัยที่ตัดขาดพวกเขาที่นี่ต่อที่อื่นๆ เป็นปัจจัยสำคัญ ภัยธรรมชาติ (เครื่องมือหนึ่งของความตาย) ‘ได้ลวงทั้งสองด้วยความหวังว่า มันอาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องปกปิดใครอีกต่อไป’ (หน้า 88) ทว่าความตายกลับมีวิถีทางที่เหนือว่า คือเลือกให้ทั้งสองมีชีวิตต่อไป อยู่กับความไม่ซื่อสัตย์ กับความอับอายของพวกเขาเอง – นี่จึงเป็นอีกวิธี (เช่นเดียวกับเรื่อง ภาพปรากฏ) ที่ความตายหัวเราะเยาะการมีชีวิต<br /><br /><strong>อีกเรื่องที่ยังไม่มีชื่อ</strong> เล่าถึงเด็กหนุ่มจอมโกหกแม่ เพื่อขอเงินไปเที่ยวเตร่และใช้ชีวิตอยู่กับหญิงสาว ที่คนทั่วไปมองเธอว่าเป็นคนใจง่าย แต่สำหรับเขา เธอเป็นคนซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เขานำเงินที่ได้จากการโกหกแม่ไปเที่ยวทะเลกับเธอสามคืนสองวัน ในวันเดินทางกลับเธอบอกเขาว่า การมาเที่ยวครั้งนี้ไม่มีความหมายใดๆ กับเธอเลย ชั่วขณะนั้นเองความหมายของชีวิตปรากฏตัวในรูปเศษเสี้ยวความทรงจำแสนงามในวัยเยาว์ และความหมายนี้จะอยู่ในฐานะความทรงจำตลอดไป เมื่อต่อมาแม่ของเขาตายจาก เขาถูกบริภาษว่าเป็นคนล้มเหลวของครอบครัว และนับตั้งแต่วันที่แม่ตาย ความหมายทางการดำรงอยู่ของเขาคือการสารภาพคำโกหกต่างๆ ที่แท่นบูชาแม่ของเขา<br /><br /><strong>อนาลัย</strong> เล่าถึงชายหนุ่มคนหนึ่งผู้มีอดีตอันลับเร้น แม้แต่ภรรยาของเขาเองก็ไม่สามารถหยั่งถึงได้ จนวันหนึ่งอดีตเดินทางมาหาเขาในฐานะความตาย เมื่อได้ทราบข่าวการตายของเพื่อนสนิทคนหนึ่งจากคำบอกเล่าทางโทรศัพท์ของอดีตคนรัก เขาจึงเดินทางเพื่อไปร่วมงานศพ ที่ๆ เขาเดินทางไปนั้นบ่งชัดว่าเป็นพื้นที่อันตรายทางภาคใต้ ซึ่งมีการลอบวางระเบิดให้เห็นอยู่รายวัน เขาเข้าพักโรงแรมชั้นสองที่นั่น โดยมีอดีตคนรักอำนวยความสะดวกอยู่ไม่ห่าง อดีตทั้งมวลที่เขาเคยมีอยู่ที่นี่ กลายสภาพเป็นความว่างเปล่าไร้ความหมาย เมื่อพื้นที่แปรเปลี่ยนเป็นที่อื่นไปเสียแล้ว<br /><br />ภาพเสนอในรวมเรื่องสั้นชุดนี้ เหมือนชี้ให้เห็นว่า กระบวนการหลอมเหตุการณ์เร้าใจให้กลายเป็นเรื่องสามัญดาษดื่น ภาวะดูดายและเฉยชาซึ่งอัดแน่นด้วยความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวในจิตใจ กับการไร้ความสามารถที่จะรู้สึกรู้สาต่อเสี้ยวเหตุการณ์ที่เข้ามาจู่จับตัวละครนั้น เป็นบาปชนิดหนึ่ง บาปของความสามัญ ความชาชินต่อการเมินเฉยในเหตุการณ์น่าตระหนกหรือรู้สึกต่อสิ่งเร้ากระทบใจ หากแต่แสดงออกอย่างงันเงียบ สงวนท่าที อันสะท้อนให้เห็นการไร้ความสามารถที่จะแสดงความรูสึก จนบรรยากาศ ฉาก และสถานที่ ต้องยื่นมือเข้ามาก่อสถานการณ์ (ในนามของชะตากรรมที่ตัวละครต้องเผชิญหน้า) และอีกครั้ง จนถึงที่สุด เหล่าตัวละครก็สมยอมให้ชะตากรรมจัดที่ทางของเขา/เธอตามแต่ต้องการ เหมือนตระหนักว่า ตนเองมีอำนาจในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็เพียงแค่ ตระหนักถึงโมงยามงามงดเล็กจ้อย ในเสี้ยวหนึ่งใดของชั่วชีวิต ต่อชั่วขณะที่ตนกำลังจะตายจากในสถานที่ซึ่งสุดท้ายแล้ว (ไม่ว่าจะคุ้นชินหรือแปลกหน้า) ได้เป็น ‘ที่อื่น’ สำหรับเขา/เธอไปแล้ว<br /><br />หากความสามัญเป็นบาป และกรรมที่ต้องใช้ชีวิตเวียนว่ายจนกว่าความตายจะโผล่หน้ามาหา ประการหนึ่ง การเลือกไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ของตัวละคร อันเป็นพฤติกรรมโต้ตอบต่อเหตุการณ์ในเรื่อง (ที่จริงเลือกแสดงด้วยท่าทีเมินเฉย เย็นชา โดยผ่านกระบวนการรับรู้ของตัวละครแปลงเรื่องตื่นใจให้เป็นเพียงเรื่องสามัญ) ก็ถือเป็นความสามานย์ด้วยประการหนึ่งเช่นกัน<br /><br />เมื่อตัวละครในรวมเรื่องสั้น ในฐานะภาพแทนของมนุษย์ ล้วนมีบาปและความสามานย์ประจำตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกเขา/เธอจึงตกอยู่ในฐานะโดดเดี่ยวตัวเอง เป็นผู้ถูกทอดทิ้ง เป็นคนอ้างว้างว่างเปล่ามาตลอดชีวิต ด้วยไม่รู้เป้าประสงค์ตัวเองประการหนึ่ง ไม่ต่อสู้หวงแหนสร้างความพึงใจในชีวิตตัวเองประการหนึ่ง พวกเขาจึงเป็นเสมือนวิญญาณในร่างเปล่าไร้สัณฐานเฉพาะ วนเวียนเป็นวัฏฏะอยู่ในภาพชีวิตแสนสามัญซึ่งไหลเคลื่อนไปตามแผนผังใหญ่ทางสังคม ในฐานะประชากรตัวเล็กๆ อันมีหน้าที่พึงมีในการเติมเต็มภาพผาสุกของสังคม ความพึงเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ พึงมีงานการทำ พึงมีครอบครัวและซื่อสัตย์ต่อกันและกัน พึงใส่ใจบุตรและดูแลบุพการี ฯลฯ ภาพสามัญเหล่านี้คือสถานะพื้นฐานที่หลากตัวละครไร้รูปพรรณสัณฐานยืนอยู่ เป็นอยู่ ดำรงอยู่ และน้ำเสียงในเรื่องสั้นแต่ละเรื่องก็ส่อชัดเจนว่า เขา/เธอทำสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นไปเองตามกรอบข้อกำหนดที่มีอยู่เดิมแล้ว ไม่ใช่ความต้องการแท้จริงของพวกเขา เป็นสิ่งพึงปฏิบัติซึ่งห่างไกลจากสิทธิและความต้องการที่พวกเขาพึงมี และในหลายๆ ครั้งตัวละครก็เฉยชาเกินกว่าจะเรียกร้อง ด้วยพวกเขาเรียนรู้การดำเนินชีวิตได้รูปแบบเดียวคือ แผดเผาภาพฝันของตนให้กลายเป็นความดาษดื่นสามัญทางสังคม<br /><br />หรืออีกนัยหนึ่ง แผดเผาภาพฝันของตนให้กลายเป็นบาปทางการดำรงอยู่ ตัวละครแต่ละตัวล้วนต่างมีโมงยามลับเร้นด้านความพึงใจในความไม่ซื่อสัตย์ คิดนอกลู่ ดูดาย (ทั้งต่อตนเอง คนใกล้ชิด และคนแปลกหน้า) ดั่งพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตนี้ เป็นเครื่องมือในการก่อขบถทางสังคม ตีรวนศีลธรรม ก่อบ่วงบาปล่อหน้าเพื่อให้ความตายมองเห็นและมารับตัวเขา/เธอไปจากที่นี่<br /><br />ภาพชีวิตเหล่านี้ผู้อ่านพอจะย้อนโยงสืบสาวกลับไปได้ โดยที่ผู้ประพันธ์เพียงเลือกเสนอเหตุการณ์เล็กๆ เหตุการณ์หนึ่ง อันเป็นเสมือนจุดสรุปของตัวละครแต่ละชุด และกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ความตายที่ตัวละครในบางเรื่องสั้นได้มา (หรือถูกหยิบยื่นให้) ยังดีเสียกว่าการรอดพ้นจากเงื้อมมือของความตาย ดังว่าถูกเลือกให้ดำเนินชีวิตอยู่ต่อไปภายใต้ความเปล่าดายของจิตใจ และวัฏฏะชีวิตเดิมๆ อันถูกโอบล้อมด้วยคนสามัญเปี่ยมบาปและความสามานย์ ความตายในรวมเรื่องสั้นชุดนี้จึงเป็นการหลุดพ้นไป ในฐานะของการเกิดใหม่ การเคลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง เป็นการเคลื่อนจาก ‘ที่นี่’ ไปยัง ‘ที่อื่น’ ในทางกลับกัน ตัวละครที่อยู่ในมือของความตาย ก่อนดับสูญ เขา/เธอบังเกิดภาพปรารถนาชุดหนึ่งวาบขึ้นในสำนึกก่อนตาย เป็นความหมายรู้ถึงสิ่งที่ตนระลึกแล้วพึงใจ ในขณะของเหตุที่ทำให้ตายอาจน่าสยดสยองต่อการรับรู้ของผู้อ่าน ทว่าตัวละครที่ตายกลับเข้าสู่ภาวะสันติสุข ภาพขัดแย้งนี้เอง ทำให้ตัวละครรู้สึกกลับทิศกับผู้อ่าน เขา/เธอตายจากพื้นที่นี้ โลกนี้ ในฐานะเป็น ‘ที่อื่น’ ไปอยู่โลกอื่น ภพอื่น ในฐานะเป็น ‘ที่นี่’ ของเขา/เธอ<br /><br />ภาพเปรียบดังกล่าวนี้ชี้ชวนให้นึกถึง ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก ภาพชีวิตสามัญอันติดอยู่ในบ่วงวัฏฏะเวียนว่ายนี้ ผู้ประพันธ์นำเสนอดังว่าอยู่ในฐานะห้วงยามกลียุค (Apocalypse) ทุกสิ่งตั้งอยู่และค่อยๆ เสื่อมพัง ภายใต้สถานที่ไร้ชื่อ ผู้คนไร้นาม ดังถูกหลงลืมและทอดทิ้ง (Limbo) ทางรอดพ้นทางเดียวคือความตาย เดินทางสู่สถานที่รับโทษทัณฑ์ก่อนขึ้นสวรรค์ (Purgatory) หากเลือกได้ระหว่างสภาวะของสองสถานที่ Limbo – การต้องเวียนว่ายในบาปและความสามานย์ซ้อนซ้ำชั่วนิรันดร์อย่างถูกทอดทิ้ง กับ Purgatory – ความตายที่เคลื่อนย้ายไปสู่อีกที่ก่อนขึ้นสวรรค์ อย่างหลังดูจะเป็นทางเลือกที่เย้ายวนกว่า<br /><br />ผู้เขียนบทความเข้าใจว่าผู้ประพันธ์มองภาพเปรียบนี้ในฐานะที่เป็นความหมายสากล อย่างไม่จำกัดข้อแตกต่างทางศาสนาและภูมิภาคประเทศ<br /><br />อนาลัย ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานว่าไว้: การไม่มีที่อยู่; การหมดความอยาก, การหมดความพัวพัน; ชื่อหนึ่งของพระนิพพาน ส่วน ที่อื่น คือ ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ตรงนี้ คำว่าอนาลัยกับที่อื่นมองผิวเผินมีความหมายคล้ายคลึงกัน แต่อนาลัยมีความหมายทางธรรมมากกว่า คือการสิ้นและหมดแล้วซึ่งความอยาก พัวพัน และตำแหน่งเหยียบยืน เป็นความว่างและไม่มีอื่นใด ในขณะที่ ที่อื่น มีความหมายทางโลกย์ เป็นการเปลี่ยนบริบทและเคลื่อนย้ายของตัวตนกับสถานที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งสามารถมองได้ความหมายเดียวกันกับสภาวะถูกทอดทิ้ง ถูกหลงลืมอยู่ในเขตแดนไร้นาม (Limbo) ตามคริสต์ศาสนา<br /><br />ตามคำนำในหนังสือรวมเรื่องสั้นที่อื่น ผู้ประพันธ์หมายใช้ชื่ออนาลัยเป็นชื่อเล่ม แต่ได้เลือกชื่อที่อื่นแทน ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพชีวิตของหลากตัวละครที่ยังเวียนว่ายอยู่ในบ่วงบาปนิรันดร หาได้พ้นไปสู่สภาวะว่างไม่มีที่อื่นใดได้อย่างแท้จริง ที่อื่นเรื่องสั้นชื่อเดียวกับชื่อเล่ม สะท้อนภาวะแปลกเปลี่ยว และการถูกชักพาไปเผชิญหน้ากับความเป็นคนอื่น/ที่อื่น และจุดเริ่มต้นของการเข้าไปพัวพันกับปรากฏการณ์อื่นๆ ต่อไปไม่รู้จบ ในขณะที่เรื่องอนาลัย ส่งสารถึงผู้อ่านอย่างเข้มชัด สมบูรณ์ ทั้งความหมายตรงตัวและนัยความหลบเร้น อันเป็นตัวสรุปความของรวมเรื่องสั้นชุดนี้<br /><br />เรื่องสั้นอนาลัยสะท้อนความสมบูรณ์ทางการวิพากษ์สภาวะความเป็นที่อื่นได้อย่างเป็นรูปธรรม เมื่อเอาสภาวะนามธรรมแปลกเปลี่ยวของตัวละครไปยืนอยู่ในตำแหน่งความขัดแย้งทางดินแดนภาคใต้ ซึ่งช่วยสื่อความได้อย่างมีประสิทธิภาพและทรงพลัง ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว เรื่องสั้นชิ้นนี้ยังมีนัยและรหัสสำคัญยิ่งในการสะท้อนทัศนคติ แนวความคิด และกระบวนการ ที่ผู้ประพันธ์มีต่อเรื่องเล่าของเขา<br /><br />น้ำเสียงเล่าเรื่องของผู้ประพันธ์ที่วางตัวอยู่ห่างๆ ทว่าคอยกำกับเหตุการณ์อยู่ในทีนั้นทั้งเยียบเย็นและเฉยเมย เปรียบเหมือนแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดช่วยชีวิตคนไข้ เขายุ่งอยู่กับความเป็นความตาย กำลังช่วยชีวิตคน แต่ก็สงวนท่าทีต่อการสร้าง/ให้ชีวิตคนไข้ (ในฐานะตัวละคร) อย่างทรงภูมิ ทว่าตัวละครของเขาซึ่งมีความธรรมดาสามานย์อย่างผิดแปลก เป็นชีวิตที่เย็นชา ดูดาย และอมพะนำ กลับทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความเปราะบาง อ่อนไหว ต่อการไร้ความสามารถที่จะรู้สึกหรือจัดการสิ่งใดๆ ในชีวิตได้อย่างเข้มข้นสะทกสะท้อน<br /><br />เรื่องราวทั้ง 12 เรื่องดูเหมือนมุ่งไปสู่จุดจบสองทางเป็นผลสุดท้าย ไม่จบลงที่ความตาย ก็ถูกทอดทิ้งให้อยู่ที่นี่ในสภาพชำรุดเสื่อมถอย เป็นความหดหู่ที่จู่จับผู้อ่านจนอาจเกิดคำถามได้ว่า ไม่มีทางออกอันเป็นแสงสว่างแห่งความหวังของการดำรงชีวิตให้คว้าจับได้บ้างหรือ ต่อคำถามนี้ มันได้เผยมูลเหตุสำคัญกระจัดกระจายตามแต่ละเรื่องสั้น เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอนาลัย<br /><br />ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า รวมเรื่องสั้นเล่มนี้เล่นกับการโยกย้ายยอกย้อนทางบริบทของความหมายคำว่า ‘ที่อื่น’ ไม่เพียงสภาวะที่ตัวละครต้องประสบกับปรากฏการณ์และพื้นที่ต่างๆ เท่านั้น แต่ความเป็นที่อื่นยังจงใจเล่นย้อนความหมายกับผู้อ่านผ่านทางตัวเรื่อง ผู้เขียนบทความเกริ่นไว้แล้วว่า เรื่องราวที่ตัวละครเหยียบยืนอยู่แม้ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นที่ไหน แต่เรารู้แน่ชัดว่ามันเป็นพื้นที่ในประเทศไทย แถบชานเมือง กับภาพวิถีสามัญที่หลากตัวละครดำเนินไปที่ผู้อ่านคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพียงแต่ปรากฏการณ์แปลกๆ กับการตัดสินใจที่คาดไม่ถึงของตัวละครและเหตุการณ์เท่านั้น ที่ทำให้แต่ละเรื่องดูพิกล ไกลหน้า แปลกตาไปจากความรู้สึกของผู้อ่าน บังเกิดสภาวะสังเกตการณ์ ‘ที่อื่น’ จากเนื้อเรื่องที่กำลังอ่านอยู่<br /><br />สภาวะเป็นที่อื่นนี้ สำหรับตัวละครหมายถึงการถูกทอดทิ้งและตายดับไปอย่างสิ้นไร้คุณค่า แต่สำหรับผู้อ่านแล้ว สภาวะความเป็นที่อื่นนี้เอง คือทางรอดของความหวังที่ผู้อ่านจะครอบครองความหมายได้<br /><br />เพราะรวมเรื่องสั้นที่อื่น นำเสนอตัวมันเองในฐานะมหรสพชุดหนึ่ง มันเป็นเรื่องเล่า เป็นภาพแสดง เป็นสิ่งที่ถูกจัดสร้างขึ้น เพื่อวาระหนึ่ง เป็นความบันเทิงเริมรมย์ในโศกนาฏกรรมอันชวนสังเวชตามแบบอย่างโศกนาฏกรรมกรีกและละครเวที รวมเรื่องสั้นที่อื่นบอกผู้อ่านอย่างชัดแจ้งว่า มันเป็นเพียงเรื่องแต่ง เป็นการจัดแสดงขึ้น ทั้ง 12 เรื่องสั้นรักษาระยะห่างกับผู้อ่านพอสมควร ความรู้สึกร่วมที่ผู้อ่านมีต่อรวมเรื่องสั้นชุดนี้ มิใช่การถูกดูดดึงด้วยตัวเรื่องในฐานะภาพเสนอที่ผู้อ่านอาจมีอารมณ์และประสบการณ์ร่วมกับมัน แต่เป็นภาพแสดงที่ผู้อ่านยังรู้สึกตัวถ้วนทั่วในฐานะเป็นเพียงเรื่องแต่ง สังเกตการณ์ความเป็นไป ดังเช่นเรามองการแสดงบนเวที<br /><br />หลักฐานสำคัญต่อข้อเสนอนี้ สังเกตได้จากบริบทของแต่ละเรื่องสั้น อันถูกจำกัดด้วยพื้นที่เฉพาะพื้นที่หนึ่ง ปรากฏการณ์ (หรือสถานการณ์) สั้นๆ ชุดหนึ่ง ตัวละครไม่กี่ตัวที่อวดแสดงการกระทำของเขาในกาลเทศะนั้นๆ แต่ละเรื่องสั้นมีกรอบๆ หนึ่งกำหนดสายตาผู้อ่านให้มอง พ้นไปจากกรอบนั้นเป็นความไม่มีสิ่งใด อุปลักษณ์นี้เสมือนเกิดขึ้นและจบลงบนเวที มากไปกว่าข้อสังเกตเบื้องต้นนี้แล้ว ผู้อ่านยังสังเกตได้จากการเลือกใช้คำ รูปประโยค และรูปแบบของชุดเหตุการณ์ เพื่อสื่อนัยดังกล่าว<br /><br /><strong>เรื่องที่ขโมยมา</strong> บอกว่าตัวมันเป็นเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า เรื่อง <strong>การแสดง</strong> บอกให้ผู้อ่านรู้ตั้งแต่ชื่อเรื่อง และการเอาตัวเข้าไปอยู่ในเวทีชีวิตของหญิงแปลกหน้าของชายผู้หนึ่ง เรื่องคืนหนึ่ง คือภาพเสนอชีวิตดำเนินอยู่สองฉาก ฉากสามัญกับฉากฆาตกรรม และสุดท้ายแล้วฉากฆาตกรรมได้แปรสภาพเป็นมหรสพผ่านภาพข่าวทางทีวี เรื่อง <strong>ฆาตกรรม</strong> เล่นกับการแปรสภาพเรื่องเล่าให้เป็นฉากฆาตกรรม ส่วนอีกหลายเรื่องที่ไม่ได้เอ่ยชื่อล้วนเป็นภาพปรากฏในฐานะฉากๆ หนึ่งบนเวที กับการพยายามฉายฉานเหตุการณ์สามัญซึ่งถูกจู่จับโดยความตายและการสูญเสียหลากหลายรูปแบบ<br /><br />‘ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูไม่จริงเอาเสียเลย ความตายเบื้องหน้าเขาชัดเจนเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง มันเป็นเหมือนมหรสพที่จงใจจัดแสดงขึ้น เพื่อให้เขาเพ่งมองผ่านหน้าต่างบานนี้’ (อนาลัย, หน้า 102)<br /><br />รูปประโยคที่ยกมานี้ บอกชัดเจนถึงสิ่งที่ดำเนินไปในเรื่องเล่า ตัวละครเองก็สงสัยตำแหน่งที่ยืนของเขา<br /><br />‘เขายืนอยู่บนถนนดินที่ฟากหนึ่งของไหล่ทาง เป็นทางลาดลงไปสู่คูน้ำเล็กๆ มองจากอีกด้านของคูน้ำ ถนนดินจะแลดูคล้ายกับเป็นพื้นเวทีที่ยกสูงขึ้น ใครที่ทอดสายตามองจากจุดนั้นก็จะเหมือนกับกำลังดูละครชีวิตของเขาที่เริ่มต้นเล่นในสถานที่แห่งนี้’ (อนาลัย, หน้า 103)<br /><br />ทั้งนี้เพื่อส่งมอบให้ผู้อ่านฉุกใจว่า มันกำลังเกิดขึ้น ดำเนินไป ผ่านมุมมองที่คัดกรองแล้วของผู้กำกับ (ผู้ประพันธ์) ที่ไม่ประสงค์ออกนาม<br /><br />เมื่อพื้นที่ถูกจัดสร้างขึ้นหรือเตรียมไว้ แล้วนำตัวละครมาวางลงบนพื้นที่/เวทีนั้นๆ ผู้อ่านมองเห็นการแสดงผ่านการกระทำของตัวละครที่ต้องลงมือ ‘ด้นสด’ (Improvise) กับพื้นที่/เวทีนั้นๆ ผลที่ได้ ผู้อ่านจึงเห็นวิธีตอบโต้ผิดแปลก ขณะตัวละครกำลังเริ่มต้นชีวิตบนพื้นที่/เวที เขา/เธอไล่รื้อย้อนความทรงจำ ภาพอดีต ต่างๆ ขึ้นมา ในฐานะเป็นเครื่องมือจัดการกับสถานการณ์ในปัจจุบันขณะ ซึ่งสะท้อนให้เห็นการจัดการอันเป็นวิธีสามานย์แสนเปล่าดายกับการรับมือพื้นที่/เวที ที่ความตายอำนวยการสร้าง เหตุใดความตายจึงสำคัญ เพราะความตายกระตุ้นให้ตัวละครขับสัญชาตญาณ หรือธาตุแท้ในตัวมนุษย์ (ตัวละคร) ออกมาอวดแสดงได้อย่างเปิดเปลือยที่สุดนั่นเอง นี่จึงสะท้อนให้เห็นว่า ทำไมรวมเรื่องสั้นที่อื่น จึงเอาความตายมาเป็นธุระนัก<br /><br />‘เขารู้สึกว่าเรื่องเล่าในลักษณะนี้มีจุดจบเหมือนๆ กันคือลงเอยที่ความตาย พร้อมกับความรู้สึกที่เศร้าสร้อยและหดหู่ แต่ในทางกลับกันเรื่องเล่าทำนองนี้ทำให้คนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง อย่างน้อยก็ในความทรงจำของคนที่ยังต้องอยู่ต่อไป’ (หน้า 100)<br /><br />ผู้ประพันธ์ประสบความสำเร็จสองทาง นอกจากจะสะท้อนวิถีชีวิตว่างเปล่า สมยอม ดูดาย เคลื่อนไหลไปตามแต่ขนบสังคมจะพัดพาไปได้อย่างชัดเจน (ชัดเจนเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง) ยังได้ใช้คุณสมบัติและคุณประโยชน์ของเรื่องเล่า เรื่องแต่ง (มหรสพที่จงใจจัดแสดงขึ้น) สะท้อนถึงความหวังของชีวิต ชีวิตทุกผู้ซึ่งสุดท้ายจบลงที่ความตาย (ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร ผู้แต่ง ผู้อ่าน) ความหวังที่ว่านั้นคือ หวังใจให้ผู้อ่านตระหนักถึงความดูดายของตัวละคร เพื่อรู้ตัวตื่นอยู่ตลอดเวลา ในการ ‘มีอยู่’ ของชีวิต ณ ปัจจุบันขณะนั่นเอง.laughable-loveshttp://www.blogger.com/profile/04462755298243778712noreply@blogger.com0